ริดสีดวงทวารกับอาหารที่ไม่ควรรับประทาน
ริดสีดวง อีกหนึ่งโรคเรื้อรัง ติดอันดับต้นๆที่คนเป็นกันมาก มีคนไทยถึง 70% ที่ป่วยเป็น “โรคริดสีดวงทวาร” และผู้หญิงมีอัตราการป่วยมากกว่าผู้ชาย โดยคนอายุ 45 – 65 ปี จะมีปัญหามากที่สุด หากเป็นแล้วจะก่อให้เกิดควาทรมานมากๆ และช่วงระหว่างรักษาริดสีดวงจะเป็นช่วงที่ใช้ชีวิตลำบากขึ้นไปอีกระดับ โดยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน และการขับถ่ายเป็นส่วนใหญ่ แต่ใครจะรู้บ้างว่า เรื่องพฤติกรรมการเลือกอาหารก็ส่งผลต่อการรักษาด้วยเหมือนกันว่า อาการจะดีขึ้นหรือแย่ลง เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นริดสีดวงระยะไหน ขอให้ตระหนักว่าเมื่อเป็นริดสีดวงแล้ว เราจะดูแลสุขภาพอย่างไรให้อาการดีขึ้น หรือหากยังไม่ได้เป็นแต่มีแนวโน้มที่จะเป็น เราควรศึกษาหาแนวทางการป้องกันไม่ให้ริดสีดวงมาย่างกราย โดยเฉพาะอาหารที่เรากินในแต่มื้อ ส่งผลโดยตรงที่อาจทำให้อาการทรุดลงได้ หรือที่เราเรียกว่า “อาหารแสลง” คืออาหารที่แสลงต่อโรค ทำให้โรคที่เป็นหายช้าหรือกำเริบมากขึ้น มีโอกาสทำให้ ริดสีดวงแตก ได้ค่ะ เป็นสิ่งที่ควรงดในระหว่างที่ร่างกายเจ็บป่วยหรือทำการรักษาอยู่ เรามีคำแนะนำดีๆในการดูแลตัวเอง มาอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ
ริดสีดวงเป็นแล้ว กินอยู่อย่างไรดี ?
ริดสีดวง เป็นโรคที่มีอาการผิดปกติภายในช่องท้อง เมื่อถ่ายอุจจาระอาจมีเลือดไหลปนออกมาจากทวาร เนื่องจากอุจจาระเกิดการเสียดสีกับเส้นเลือดตรงก้อนเนื้อริดสีดวงที่โป่งพอง ทำให้มีอาการเจ็บปวดเมื่อขับถ่าย หรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีการเบ่งถ่ายอุจจาระโดยใช้ระยะเวลานานบ่อยๆ, การใช้ยาสวนอุจจาระหรือยาระบายบ่อยๆ, ตั้งครรภ์, พันธุกรรม, การทานอาหารที่มีกากใยน้อย ซึ่งเราจะมาพูดถึงเรื่องของประเภทอาหารที่ไม่เหมาะและเหมาะสำหรับคนเป็นริดสีดวง ซึ่งในทางการแพทย์แผนไทย มองว่าอาหารยังเป็นยารักษาโรคชนิดหนึ่งได้ด้วย และถ้าเลือกกินอาหารที่ไม่ถูกต้องแล้ว มักจะก่อให้เกิดผลเสียต่อโรคที่เป็นอยู่ไม่มากก็น้อย ดังนั้นการเลือกกินอาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และต่อการรักษาอาการเจ็บป่วยได้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
อาหารต้องห้าม 7 อย่างที่ไม่ควรกินสำหรับคนเป็น ริดสีดวง
คนที่มีแนวโน้มเสี่ยงที่จะเป็นหรือยังไม่ได้เป็น คุณสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นควบคู่กับกินยารักษาริดสีดวงตามคำแนะนำหรือคำสั่งของแพทย์ได้ ลองจดบันทึกไว้ว่ากลุ่มอาหารประเภทไหนที่แสลงต่อโรคไม่ควรกิน แล้วต้องห้ามใจไม่เผลอไปกินระหว่างช่วงเป็นริดสีดวงเป็นอันขาด
1. เนื้อสัตว์ : ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว, เนื้อควาย, เนื้อจระเข้, เนื้อเป็ด, เนื้อห่าน ฯลฯ จัดเป็นเนื้อแดงจะมีสารกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ง่าย ดังนั้นการรับประทานเนื้อแดงในปริมาณมาก จึงส่งผลโดยตรงให้ร่างกายเกิดการอักเสบ หรือมีอาการกำเริบขึ้นมาเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
2. อาหารรสจัด : ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด ที่ส่งผลเสียถึงระบบการขับถ่าย อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก ท้องเสีย แสบทวารหนัก ถ่ายปนเลือดสด และไปกระตุ้นอาการริดสีดวงทวารอื่นๆ ให้กำเริบขึ้นมามากขึ้นได้ นอกจากนี้ยังพบว่า ในพริกมีสารแคปไซซิน (Capsaicin) และในมะนาวมีสารที่มีความเป็นกรดสูง หากได้รับในปริมาณมากก็จะไปทำลายเยื่อบุทางเดินอาหาร เกิดอาการระคายเคือง แสบท้อง และทวารหนักมากขึ้น ส่วนรสเค็มจัด หากร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมาก จะมีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด จะทำให้เลือดข้น ส่งผลให้มีการดึงน้ำจากในเซลล์ออกมาในกระแสเลือด และทำให้เกิดความดันโลหิตสูงตามมา หัวใจและไตต้องทำงานหนักมากขึ้น รวมถึงปริมาณโซเดียมสูง จะไปขัดขวางการไหลเวียนของสารอาหารที่ดีไปยังบริเวณแผลริดสีดวง อาการที่เป็นจึงอักเสบขึ้นมา และต้องใช้เวลาในการรักษามากขึ้นได้
3. อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป : อาหารหมักดองต่างๆ เช่น กะปิ ปลาร้า หอยดอง แหนม ปลาส้ม ซอสปรุงรส เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ น้ำส้มสายชูหมัก นมเปรี้ยว ผักผลไม้ดอง เป็นต้น ในทางโภชนาการพบว่าอาหารหมักดอง และอาหารแปรรูป จะมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างสูง รวมถึงอาหารที่มีกรรมวิธีผลิตที่ไม่สะอาดก็อาจจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายเติบโตขึ้นในอาหารได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย และส่งผลให้ระบบการขับถ่ายผิดปกติไป กระตุ้นอาการริดสีดวงให้กำเริบได้
4. ขนมหวาน เบเกอรี่ ผลไม้รสหวานจัด : อาหารรสหวานจัดต่างๆ เช่น น้ำหวาน ขนมเค้ก ขนมเบเกอรี่ ไอศกรีม ชานม และผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน มะม่วงสุก ละมุด เงาะ ลิ้นจี่ จากการศึกษาพบว่าการกินอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง จะทำให้ฮอร์โมนอินซูลินที่ทำหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในร่างกาย ผลิตออกมามากเกินไป และตกค้างอยู่ในกระแสเลือด ไปขัดขวางการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ จึงทำให้เกิดอาการอักเสบในร่างกายขึ้นได้ง่าย และยิ่งถ้าร่างกายมีการอักเสบมากอยู่แล้ว การทานน้ำตาลจะยิ่งทำให้แผลหายช้า ติ่งริดสีดวงทวารบวมแดงมากขึ้นได้อีก
5. ของทอดของมัน อาหารไขมันสูง : อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ เนย มาร์การีน น้ำมันปาล์ม เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาหมึก เบคอน มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ ปาท่องโก๋ เป็นต้น เมื่อเรากินเข้าไปร่างกายจะต้องพยายามกำจัดไขมันส่วนเกินออก หากกำจัดออกได้ไม่หมด จะเกิดการสะสมเป็นของเสียตกค้าง เกิดเป็นเมือกมันเกาะในลำไส้ เมื่อสะสมเป็นเวลานานเข้าจะเกิดเป็นของเสียขนาดใหญ่อุดตัน เป็นสาเหตุสำคัญของอาการท้องผูก และยังสามารถก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง และยังไปทำลายสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ง่ายขึ้น การรักษาอาการเจ็บป่วยก็จะทำได้ไม่ดี
6. อาหารทะเล : มักมีความคาว และจะมีเมือกมันสะสมอยู่มาก หากร่างกายกำจัดเมือกเหล่านี้ได้ไม่หมด ของเสียก็จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เลือดมีความข้นหนืดมากขึ้น ไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายได้ไม่ดี เลือดก็จะนำพาของเสียเหล่านี้ไปยังส่วนที่มีการอักเสบ ทำให้อาการอักเสบมากขึ้นเรื่อยๆ และใช้เวลารักษามากขึ้นได้ และจากงานวิจัยพบว่า ภายในเนื้อสัตว์ทะเลจะมีสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ง่าย ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับสัตว์เนื้อแดง และในอาหารทะเลยังมีโอกาสพบสารปนเปื้อนได้มาก เช่น สารฟอร์มาลีน สารปรอท เป็นต้น รวมถึงการมีปริมาณไขมันและคอเลสเตอรอลสูง ดังนั้นการรับประทานอาหารทะเลจึงส่งผลให้ร่างกายมีการอักเสบมากขึ้นได้โดยตรง
7. เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ชากาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง และการสูบบุหรี่ : ส่งผลทำให้ร่างกายได้รับของเสีย สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายเป็นจำนวนมาก ร่างกายจึงต้องทำงานหนักเพื่อขับของเสียออกมากขึ้น โดยทางการแพทย์แผนปัจจุบันพบว่า แอลกอฮอลล์จะไปกระตุ้นให้มีการขับธาตุสังกะสีออกจากร่างกายมากกว่าปกติ ส่งผลให้แผลหายช้าลง และไปลดการดูดซึมของสารอาหารต่างๆ ทั้งกรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุตา่งๆ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการซ่อมแซมของบาดแผล ส่วนบุหรี่ประกอบด้วยสารพิษต่างๆมากมาย หลักๆได้แก่ สารนิโคติน ทาร์ และแก๊สคาร์บอนมอนอ๊อกไซด์ นิโคตินคือสารที่ทำให้มีอาการเสพติด ทาร์เป็นสารก่อมะเร็งและก่อให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย ส่วนแก๊สคาร์บอนมอนอ๊อกไซด์ จะไปแย่งออกซิเจนในการจับกับเม็ดเลือดแดง ทำให้ปริมาณของออกซิเจนในเลือดน้อยลง ทำให้ไม่มีการซ่อมแซมอาการเจ็บป่วยในร่างกาย แล้วยังทำให้อาการที่เป็นอยู่เป็นหนักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับอาหารที่แนะนำเพื่อให้เหมาะสมกับร่างกายในขณะที่ริดสีดวงทวารอักเสบอยู่นั้น จะเป็นอาหารประเภทรสจืดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อลดการอักเสบในร่างกาย หากเราไปกระตุ้นโดยการกินอาหารพวกของมันของทอด หรือกินอาหารรสจัด จะเห็นได้ว่าอาการป่วยต่างๆ จะเป็นหนักขึ้น แต่หากเราเลือกกินอาหารที่ถูกต้อง ประเภทรสจืดเย็น อย่างเช่น โจ๊ก แกงจืด ต้มผักต่างๆ พวกธัญพืช แป้งไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลาทะเล เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เห็ด นมถั่วเหลือง ผักและผลไม้รสไม่หวานจัด จำพวกกล้วยน้ำว้า แก้วมังกร แอปเปิ้ล มะละกอ เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้จะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยลดการอักเสบ และปรับสมดุลร่างกาย ดังนั้นการใส่ใจเรื่องการกินอาหารนั้น ก็จะสามารถมีสุขภาพที่ดีจากภายใน และช่วยให้อาการริดสีดวงที่เป็นอยู่ดีขึ้นได้ค่ะ
ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเป็นริดสีดวงห้ามกินอะไรบ้าง และควรเลือกกินอะไร เราควรหมั่นเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารต้อมห้าม ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หมกหมุ่นกับความเครียด รู้จักผ่อนคลาย เพื่อไม่ให้อาการกำเริบจนกว่าอาการจะหายดีแล้ว ร่างกายของเราก็จะกลับมาแข็งแรงอย่างยั่งยืน สมุนไพรดีเพื่อสุขภาพขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้สำหรับผู้ที่เป็นริดสีดวง และผู้ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ ให้คลายกังวลกับคำถามที่ว่าจะ “กินอย่างไรไม่ให้อาการริดสีดวงกำเริบ” และ “กินอย่างไรให้เหมาะกับริดสีดวงทวาร” ขอให้อดใจกันสักนิดในช่วงรักษาอาการหรือตอนอาการกำเริบ ถ้างดได้จะใช้เวลารักษาไม่นานก็หายแล้วค่ะ แต่ถ้ายังงดบ้าง งดไม่ได้บ้าง ระยะเวลาการรักษาก็จะนานขึ้น เราพร้อมให้คำปรึกษาเพิ่มเติม ทักหาเราได้เลยนะคะ
สามารถปรึกษากับเราได้ที่ BestHerb4Health
LINE ID: @bestherb4health
TEL: 062-916-6242