Macunox มาคูน็อกซ์ สารสกัดมากิเบอร์รี่คุณภาพสูงจากชิลี บำรุงดวงตา

ต้อหิน ต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลม วุ้นในตาเสื่อม ภัยเงียบ ที่ไม่รู้ตัว

มาคูน็อกซ์ นวัตกรรมใหม่สารสกัดจากสมุนไพร ดูแลดวงตา ไม่ต้องผ่า

เดลฟินิดิน (Delphinidin) สารสกัดจาก “มากิเบอร์รี่” Maqui Berry นำเข้าจากประเทศชิลี รวมถึงสารสำคัญอื่นๆใน มาคูน็อกซ์ Macunox ที่จะช่วยชะลอการเกิดโรคเกี่ยวกับสายตา มีงานวิจัย ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย เทคโนโลยีชั้นสูง จากสถาบัน NSPi ทำให้ร่างกายนำสารสำคัญดังกล่าวไปใช้ประโยชน์และเห็นผลจริง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในลูกตา ลดความดันลูกตา ลดอนุมูลอิสระในดวงตา ลดความเมื่อยล้าของดวงตา ป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตา และช่วยฟื้นฟูสุขภาพดวงตาให้ดีขึ้น

เพราะ “ดวงตา” เป็นหน้าต่างของหัวใจ อวัยวะสำคัญในการดำรงชีวิตที่ช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างกว้างไกล และสามารถทำกิจกรรมต่างๆตามที่ต้องการได้ ในปัจจุบันเราพบว่าคนไทย เริ่มมีปัญหาทางด้านสายตาเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย ปัญหาหลักๆมาจากพฤติกรรมในยุค Social Media ใช้สายตากับจอมือถือ สมาร์ทโฟน หรือจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราใช้ชีวิตประจำวันในทุกวัน อีกทั้งยังเจอมลภาวะแสงแดด ฝุ่นละออง หมอกควันต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคทางตา (Eye disease) คือ ความผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นกับดวงตา และอาจส่งผลถึงการมองเห็นได้ตามมา โดยเฉพาะโรคต้อต่างๆ ซึ่งพบมาก และบ่อยสุดในคนไทยที่มีอายุมากขึ้น และมักจะพบเมื่อเกิดความเสื่อมของตาแล้วจึงค่อยทำการรักษา อย่ารอให้สายเกินไป

จุดเด่นของ Macunox ที่ดีต่อดวงตา

งานวิจัยสถาบัน NSPi ดร.ณสพน โพธิ์วิจิตร ฟื้นฟูดวงตา สดใสกว่าเดิม

ใน 1 แคปซูล รวมสารสกัดงานวิจัยคุณภาพมากกว่า 6 ชนิด โดยเฉพาะสารสกัดมากิเบอร์รี่ (Maqui Berry) ที่เราสามารถสกัดสารสำคัญได้เอง ให้ค่า ORAC ต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเบอร์รี่ทั่วไปถึง 276 เท่า ใส่เฉพาะสารสกัดสำคัญ Delphinidin สูงถึง 150 มก./แคปซูล และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทำให้ดูดซึมได้ดี ออกฤทธิ์ได้จริง

เพิ่มการไหลเวียนเลือดในลูกตา
คงความสมดุลของความดันลูกตา
ช่วยป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตา และเส้นเลือดฝอยในจอตา
ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ
ลดอาการตาแห้ง เพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงในดวงตาให้ความชุ่มชื้น
ลดอาการตาเมื่อยล้า
ดูแลไม่ให้ดวงตาเกิดการเสื่อมก่อนวัย

สถาบันวิจัย NSPi นวัตกรรมสมุนไพร เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี

เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ที่นำเข้ามากิเบอร์รี่ จากชิลี

แล้วมาสกัดเอง ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อให้ได้สารสกัดสำคัญที่มีประสิทธิภาพสูง ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

Delphinidin แก้ปัญหาดวงตาได้ดีอย่างไร

เดลฟินิดิน Delphinidin คือสารสำคัญที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสุขภาพของดวงตาได้เป็นอย่างดี พบได้ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีลักษณะเป็นผลขนาดเล็กสีม่วงเข้มหรือแดง รสชาติหวานอมเปรี้ยว เช่น Blackberry, Blueberry, Pomegranate, Elderberry, Acaiberry ซึ่งจะพบได้น้อย แต่พบได้มากที่สุดในมากิเบอร์รี่ “Maqui Berry” โดยบริษัท ดีท็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่นำเข้าจากประเทศชิลี มาทำการวิจัยและพัฒนาโดยสถาบัน NSPi ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อให้ได้สารสกัดที่มีประสิทธิภาพเรียกว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ชนิด “เดลฟินิดิน” (Delphinidin) ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด และสถาบัน NSPi ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมที่ล้ำสมัยในการสกัดสารสำคัญได้เอง ทำให้ร่างกายนำสารสำคัญดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ และเห็นผลจริง สามารถแก้ปัญหาสุขภาพดวงตาได้อย่างตรงจุด และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคตาต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้

6 ความเริ่ดของ “มากิเบอร์รี่” ส่งผลต่อดวงตา

บำรุงสายตาช่วยในการมองเห็น เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงน้อย
ช่วยต้านอนุมูลอิสระในจอตา เมื่ออนุมูลอิสระที่มาจากไขมัน และอาหารบางประเภท เกาะติดเลนส์ตามากๆ อาจส่งผลกระทบทำให้เลนส์ตาเสื่อม, เลนส์ตาขุ่น, มองเห็นไม่ชัด ตามัว, เกิดต้อกระจก และมีปัญหาสายตาเมื่ออายุมากขึ้น
ช่วยลดอาการตาเมื่อยล้า (Eye Fatique) มักมีอาการตาล้า ปวดแสบตา ตาพร่ามัว ตาไวต่อแสง ตาแห้ง ปวดไหล่ และคอ ทั้งยังเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และโรคต้อกระจก
ช่วยลดอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา เพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงตา ให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาแบบธรรมชาติ
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนในหลอดเลือดฝอยตาได้ดี ลดความเสี่ยงของการเกิดต้อหิน ต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม
ช่วยปกป้องดวงตาไม่ให้ถูกแสงทำลายเซลล์จอประสาทตาให้เสื่อม

โรคตาที่ควรดูแลก่อนสูญเสียการมองเห็น

อย่ามองข้ามสัญญาณเตือน! หากรู้สึกได้ว่ามีอาการมองภาพผิดเพี้ยนไปจากเดิมที่เคยมองเห็นปกติ โดยเฉพาะในผู้สูงวัย และวัยทำงานที่เกี่ยวข้องกับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษต่อดวงตา และนี่คือโรคตาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะโรคตาบางโรค หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นตาบอดเฉียบพลันได้

โรคต้อหิน (Glaucoma)

เป็นโรคเกิดจากความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น มีการสร้างน้ำเลี้ยงลูกตามากกว่าปกติ มีการปิดกั้นการไหลเวียนของน้ำเลี้ยงลูกตา จนทำลายประสาทตา ทำให้ประสาทตาไม่สามารถทำงานได้ สายตาจะเสื่อมลง ซึ่งการระบายน้ำในลูกตาน้อยผิดปกติ จะทำให้ความดันในลูกตาสูง โดยปกติในลูกตาส่วนหน้ามีการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา (aqueous humor) ถูกสร้างจากอวัยวะภายในลูกตาที่เรียกว่า ciliry body ไหลเวียนผ่านช่องระหว่างม่านตา และเลนส์ตาสู่ช่องหน้าลูกตา ไหลเวียนออกจากลูกตาทาง trabecular meshwork (ทางระบายออกของน้ำในลูกตาอยู่ที่มุมตา มีลักษณะเป็นตะแกรง) หากเป็นโรคต้อหิน ลูกตาจะแข็งขึ้น จนกระทั่งกดขั้วประสาทตา ทำให้มีการเสียของลานสายตาการมองเห็น ในช่วงแรกของโรคมักไม่มีอาการ ถ้าได้รับการวินิจฉัย และรับการรักษา จะสามารถช่วยไม่ให้ตาบอดได้ แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รักษา จะทำให้สูญเสียการมองเห็นได้อย่างถาวร

สาเหตุจากความเสื่อมของเส้นประสาทตา

มีความดันลูกตาสูงกว่า 21 มิลลิเมตรปรอท
เกิดการอุดตันของน้ำในดวงตา
ความเสื่อมตามวัย
โรคแทรกซ้อนหรือการบาดเจ็บที่ดวงตา
กรรมพันธุ์
สายตาสั้นหรือยาวเกินไป

ลักษณะอาการ

♦ แบบเฉียบพลัน

– ปวดตาอย่างรุนแรง

– เห็นสีรุ้งรอบดวงไฟ

♦ แบบเรื้อรัง

– มุมมองการมองเห็นจะแคบลงเรื่อยๆจนมองไม่เห็นในที่สุด

โรคต้อกระจก (Cataract)

เป็นโรคต้อที่เกิดจากการขุ่นของเลนส์แก้วตาในลูกตา เป็นการเสื่อมตามอายุ ทำให้การมองเห็นภาพมีลักษณะคล้ายหมอกหรือควันขาวๆมาบัง เห็นภาพบิดเบี้ยว ตามัวมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงจ้า แต่จะมองเห็นภาพชัดขึ้น ในที่มืดสลัวหรือในตอนพลบค่ำ ตาจะมัวมากขึ้นเรื่อยๆจนอาจมองไม่เห็นในที่สุด การรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาด้วยเลนส์แก้วตาเทียม (ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง) มีการค้นพบที่ชัดเจนว่า การได้รับแสงเป็นประจำก่อให้มีการสร้างอนุมูลอิสระในกระจกตา และจอตาได้ มีผลทำให้เกิดออกซิเดชั่นของโปรตีน และไขมันในเลนส์ตา ทำให้เกิดความเสื่อมของเลนส์ตา และก่อให้เกิดโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุ

สาเหตุจากการเสื่อมสภาพของเลนส์ตา

ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
อาจเป็นตั้งแต่กำเนิด
เป็นภาวะที่เกิดขึ้นพร้อมกันหรือเกิดจากโรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับไทรอยด์หรือโรคอ้วน
เกิดอุบัติเหตุต่อดวงตาจนกระทบกระเทือนดวงตามากๆ ทำให้ตามัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เคยเกิดภาวะอื่นๆเกี่ยวกับตา เช่น การอักเสบ ติดเชื้อในตาหรือมีสายตาที่สั้นมากๆ
การใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาหดม่านตา ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ ส่วนยาที่มีผลทำให้เกิดต้อกระจกได้มากคือ กลุ่มยาสเตียรอยด์
การได้รับรังสีแสงอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดเป็นประจำหรือได้รับแสงที่สว่างมากเกินไปเป็นเวลานาน เช่น แสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แสงจากการเชื่อมเหล็ก

ลักษณะอาการ

♦ สายตาขุ่นมัว เห็นภาพซ้อน ภาพไม่ชัด ภาพมัวเหมือนมีหมอกมาบัง อาจจะรู้สึกเหมือนสายตาสั้นเพิ่มขึ้น

♦ สู้แสงสว่างไม่ได้

♦ ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย สายตาสั้นลงจนต้องตัดแว่นใหม่บ่อยครั้ง

♦ มองภาพไม่ชัดโดยเฉพาะเวลากลางวันในที่แสงจ้า แต่จะมองเห็นได้ชัดกว่าในเวลากลางคืนหรือพลบค่ำ

♦ มองเห็นสีผิดเพี้ยนไปจากเดิม ต้องการแสงมากกว่าปกติเพื่อมองเห็นสี

♦ เห็นแสงไฟกระจายออกจากดวงไฟ โดยเฉพาะเวลาขับรถในตอนกลางคืน

♦ รูม่านตาที่ควรมีสีดำเริ่มมีสีขาวขุ่น เมื่อเวลาผ่านไปสีขาวจะชัดขึ้น และแผ่ออกด้านนอก

โรคต้อลม (Pinguecula)

เป็นโรคต้อชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเส้นใยคอลลาเจนในเยื่อบุตาขาวเสื่อมสภาพ จนทำให้เยื่อบุตาขาวในส่วนนั้น ก่อตัวกันเป็นก้อนหนาบริเวณตาขาว ส่วนใหญ่จะพบที่บริเวณหัวตา บางรายพบที่หางตาหรือเกิดพร้อมกันทั้งหัวตา และหางตาก็ได้ ก้อนต้อลมนี้จะทำให้รู้สึกเจ็บตา คันตา น้ำตาไหล รู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายอยู่ในดวงตาตลอดเวลา

สาเหตุจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา

ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง พบเจอทั้งแสงแดด แสงอัลตราไวโอเลต UV ลม ฝุ่น ควันหรือทราย มาเป็นเวลานาน
พบมากในผู้ที่มีอายุ 30 – 35 ปี

ลักษณะอาการ

♦ เคืองตา ไม่สบายตา

♦ น้ำตาไหล

♦ ตาแห้ง

♦ ตาแดง

โรคต้อเนื้อ (Pterygium)

เป็นโรคต้อที่ต่อเนื่องมาจากโรคต้อลม เป็นภาวะที่พังผืดของเยื่อบุตา โดยมีก้อนเนื้อลักษณะคล้ายเนื้อเยื่อสีขาวออกแดง ขยายจากตาขาวลามเข้าไปบนบริเวณกระจกตาดำ (Comea) ด้านหัวตามากกว่าหางตา ต้อเนื้อจะค่อยๆปิดรูม่านตา ซึ่งจะปิดบังการมองเห็น ทำให้ตามัว เห็นภาพไม่ชัด มักเกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมาเป็นเวลานานหลายปี เนื้อเยื่อดังกล่าวไม่ใช่มะเร็ง และไม่เป็นอันตรายกับดวงตา แต่ทำให้ดวงตารู้สึกระคายเคืองกับฝุ่น ลม และแสงแดดมากขึ้น เกิดอาการแสบตา น้ำตาไหล และตาแดง บริเวณต้อเนื้อเมื่อถูกสิ่งระคายเคืองไม่ทำให้ตามัวหรือตาบอด รักษาโดยการผ่าตัด

สาเหตุจากการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา

ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง พบเจอทั้งแสงแดด แสงอัลตราไวโอเลต ลม ฝุ่น ควัน ทราย
พบมากในผู้ที่มีอายุ 30 – 35 ปี

ลักษณะอาการ

♦ ตามัว การมองเห็นแย่ลง

♦ ตาแดง ระคายเคือง ไม่สบายตา

♦ คันตา น้ำตาไหล เจ็บตา

วุ้นในตาเสื่อม (Vitreous Degeneration)

เป็นโรคที่พบได้บ่อย และเป็นกันมาก โดยปกติลูกตาจะมีวุ้นตา (Vitreous) อยู่ภายในช่องตาส่วนหลัง เพื่อคงรูปร่างของลูกตา ตั้งแต่เกิดวุ้นตาจะมีลักษณะเป็นเจล หนืด ใส ยึดติดกับจอตาที่บุอยู่ภายในลูกตาโดยรอบ ซึ่ง 99% ของวุ้นตาเป็นน้ำ คนเป็นโรควุ้นในตาเสื่อม เกิดจากน้ำวุ้นในตามีการเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นของเหลว และบางส่วนจับเป็นก้อนหรือเป็นเส้นเหมือนหยากไย่ วุ้นตาอาจจะหดตัวลอกออกจากผิวจอตา ทำให้มองเห็นเป็นเงาดำจุดเล็กๆ เส้นๆ วงๆ หรือหยากไย่ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจก ขยับไปมาได้ตามการกลอกตา โดยจะเห็นชัดก็ต่อเมื่อมองไปยังภาพแบล็คกราวที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าสีขาว ผนังห้องสีขาว และบางคนอาจมีอาการมากกว่านั้นคือ ประสาทตาฉีกขาด จะมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ซึ่งอาการนี้น่ากลัวมากๆ และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าสายตาจะดีเหมือนเดิม

สาเหตุสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย

พบมากในกลุ่มคนวัยผู้สูงอายุ เชื่อว่าเป็นการเสื่อมสภาพของร่างกาย
ผู้ที่มีสายตาสั้น
ผู้ที่มีแผลหรือเกิดการบาดเจ็บที่ดวงตา
ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต้อกระจก
ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
การอักเสบของดวงตา

ลักษณะอาการ

♦ เห็นแสงวาบคล้ายแฟลช

♦ มีจุดดำหรือหยากไย่ลอยไปลอยมา

♦ มองเห็นเป็นเงา ไม่ชัดเจน

เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy)

ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาหรือที่มักเรียกว่า “โรคเบาหวานขึ้นตา” คือภาวะแทรกซ้อนทางตาที่เกิดจากโรคเบาหวาน เป็นผลจากการที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดยเกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่ นำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อมีภาวะขาดอินซูลินทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลค้างอยู่ในกระแสเลือดเป็นจำนวนมาก ทำให้หลอดเลือดเกิดความผิดปกติ ส่งผลต่ออวัยวะต่างๆทั่วร่างกายรวมถึงดวงตา โดยเฉพาะที่จอตา มีการรั่วซึมของเลือด และน้ำเหลืองออกจากหลอดเลือดกระจายทั่วในจอตา มีการอักเสบเกิดขึ้นตามมา จนมีภาวะอุดตันของหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ ทำให้เกิดภาวะจอตาขาดเลือด มีการตายของเซลล์จอตา ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว และสามารถส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้

สาเหตุของเบาหวานขึ้นตา

ระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลานาน

ลักษณะอาการ

ในระยะแรกของเบาหวานขึ้นตา อาจจะยังไม่มีอาการหรือความผิดปกติในการมองเห็น ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัว และละเลยการตรวจตา (อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง) แต่มารู้อีกทีเมื่อเบาหวานเริ่มขึ้นตาแล้ว ซึ่งอาจพบอาการต่างๆได้ เช่น

♦ มองเห็นจุดหรือเส้นสีดำคล้ายหยากไย่ลอยไปลอยมา

♦ ตามัว การมองเห็นแย่ลง สายตาไม่คงที่

♦ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว

♦ เห็นภาพมืดเป็นบางจุด

♦ แยกแยะสีได้ยากขึ้น

♦ สูญเสียการมองเห็นในที่สุด

ตาล้า

ในปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆเข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตประจำวันมากขึ้น ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เช่น การติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และอื่นๆ ถึงแม้จะให้ความสะดวก สบาย รวดเร็ว แต่หากเกิดการใช้งานไม่เหมาะสม ไม่ถูกสุขลักษณะที่ดี ก็มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้

สาเหตุ

มักเป็นผลมาจากการใช้สายตามากเกินไปในระยะเวลานานๆ

ลักษณะอาการ

♦ จะรู้สึกปวดตา กระบอกตาหรือบริเวณรอบๆดวงตา

♦ เกิดการระคายเคืองตา คันตาหรือแสบตา มีภาวะตาแห้ง

♦ ดวงตามีความไวต่อแสง มีอาการตาล้า ตาเบลอ มองไม่ชัดเจน มองเห็นภาพซ้อนกัน

ตาแห้ง

เป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงวัยและวัยทำงาน เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นหรือการมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขลักษณะต่อดวงตา อาจก่อให้พบปัจจัยหลายๆอย่างที่ส่งผลให้เกิด “ภาวะตาแห้ง” ได้ ไม่ว่าจะเป็นต่อมไขมันเปลือกตาที่อุดตันได้ง่ายขึ้น ฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้น้ำหล่อเลี้ยงตาที่ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาไม่เพียงพอ เกิดการระคายเคืองในตา มีอาการไม่สบายตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา แสบตาหรืออาจน้ำตาไหลมากได้

สาเหตุอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย

การทำงานที่ผิดปกติของต่อมไขมันที่เปลือกตา
การใส่คอนแทคเลนส์
การใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
การรับประทานยาบางชนิด การมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคไทรอยด์ โรคข้ออักเสบ

ลักษณะอาการ

♦ รู้สึกไม่สบายตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา

♦ เคืองตาหรือมีน้ำตาไหล ซึ่งน้ำตาที่ไหลเป็นเพียงเพราะการถูกกระตุ้นจากภาวะตาแห้งให้สร้างน้ำตาขึ้นมา เพื่อลดการระคายเคือง แต่ไม่ได้ส่งผลให้ดวงตาเกิดความชุ่มชื้นอย่างที่เราเข้าใจกัน หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา จะทำให้เปลือกตาดึงรั้งขนตาให้ลงมาทิ่มตา

♦ เปลือกตาอักเสบ และกระจกตาอาจเกิดเป็นแผลได้

พบทางเลือกใหม่ แก้ปัญหาโรคต้อ ชะลอความเสื่อมของดวงตา สำหรับผู้ที่ใช้งานสายตาจากการทำงานหรืออยู่หน้าจอมือถือ จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลภาวะที่เป็นพิษต่อดวงตา

Macunox นวัตกรรมใหม่เพื่อดวงตา และการมองเห็น

สารสกัดมากิเบอร์รี่ MAQUI BERRY EXTRACT

มีสาร Antocyanin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และลดการอักเสบ ช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อมได้
บำรุงสายตาช่วยในการมองเห็น เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด
ช่วยเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงตา ลดอาการตาแห้ง ตาล้า ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากปัญหาตาแห้ง

สารสกัดเปลือกสนฝรั่งเศส PINE BARK EXTRACT

อุดมไปด้วย Oligomeric Proanthocyanidin (OPC) ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
เสริมสร้างการมองเห็นโดยการเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในดวงตา เพื่อรักษาสุขภาพตาให้ดีอยู่เสมอ และสร้างความแข็งแกร่งของเส้นเลือดฝอยในจอตา เพื่อป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำ
ป้องกันอาการเส้นเลือดขอด เส้นเลือดเปราะแตกง่าย ลดการแข็งตัวของเลือด และชาตามปลายมือปลายเท้า
เสริมสร้างภูมิต้านทาน
ช่วยรักษาระดับกลูโคสในกระแสเลือดที่ดีต่อสุขภาพ

สารสกัดจากดอกดาวเรือง MARIGOLD EXTRACT

มีลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก ทางบริษัท ดีท็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีการใช้เทคโนโลยี microencapsulation เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของลูทีนให้ดียิ่งขึ้น
ลดอนุมูลอิสระที่จะทำลายดวงตา
ช่วยกรองแสงสีฟ้า และป้องกันรังสีจากแสงแดดที่จะทำลายดวงตา
ลดอาการตาเมื่อยล้า

วิตามินซี VITAMIN C

ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก ตาบอดเฉียบพลัน
กรดแอล-แอสคอร์บิก (L-Ascorbic Acid) ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ปกป้องเลนส์ตาจากควันบุหรี่ แสง UV ต้นเหตุการเกิดโรคต้อกระจก
การขาดวิตามินซี สามารถก่อให้เกิดปัญหามากมายต่อดวงตา รวมทั้งการเกิดเลือดออกในเปลือกตา และเยื่อบุลูกตา

สารสกัดฮีมาโตคอคคัส พลูวิเอลิส HAEMATOCOCCUS PLUVIALIS EXTRACT

ต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ป้องกันการอักเสบ ปรับระบบการหมุนเวียนเลือด ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ ป้องกันเซลล์เรติน่าจากการอักเสบ ลดอาการล้าของดวงตา เพิ่มความชุ่มชื้น

วิตามินเอ VITAMIN A

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นต้อกระจกได้
ช่วยให้ตาสู้แสงได้ในเวลากลางวัน มองเห็นในที่มืดดีขึ้น
สำหรับผู้ที่ขาดวิตามินเอ จะมีอาการตาไม่สู้แสง เมื่อเจอแสงแดด, ตาไวต่อแสง, แสบตา และทำให้น้ำตาไหลได้ง่าย การขาดวิตามินเอมากๆ จะมีอาการเยื่อบุตาแห้ง และอักเสบ ทำให้เปลือกตาบวม และมีเม็ดขาวขุ่นขึ้นที่กระจกตา

วิตามิน บี1 บี2 บี6 VITAMIN B1 B2 B6

ช่วยในการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ เสริมสร้างเม็ดเลือดแดง

วิตามินอี VITAMIN E

ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำงานร่วมกับวิตามินเอ และซี ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อกระจก
ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ประสาทถูกทำลาย และช่วยให้เซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่แข็งแรง

สิ่งที่คุณจะได้หลังทาน Macunox

การมองเห็นวัตถุหรือภาพชัดเจนขึ้น
ใช้สายตาได้นานขึ้น
ลดอาการปวดเบ้าตา และขมับ
ลดอาการตาพร่ามัว ตาเบลอ
ลดอาการตาล้า
ลดอาการตาแห้ง ตาจะมีความชุ่มชื้นขึ้น
ตาสามารถสู้แสงจากจอมือถือหรือแสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์ได้ดีขึ้น
ลดโอกาสการเกิดโรคต้อชนิดต่างๆ
ชะลอความเสื่อมของตาก่อนวัยอันควร

มาคูน็อกซ์ วิธีทานให้เห็นผล

วิธีรับประทานให้ได้ผลสูงสุด รับประทานขณะท้องว่าง สามารถแบ่งการทานตามอาการ ดังนี้

สำหรับผู้ที่มีอาการทางสายตาไม่มาก ต้องการบำรุงสุขภาพดวงตา

ครั้งละ 1 แคปซูล ก่อนอาหารเช้า 10-15 นาที และอีก 1 แคปซูล ก่อนนอน

หรือ

ครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนนอน

สำหรับผู้ที่มีอาการทางสายตามาก ทานแบบรักษาดวงตา

ครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนอาหารเช้า และก่อนนอน

ข้อควรระวัง: ควรเก็บผลิตภัณฑ์หลังเปิดซองฟรอยแล้วในซองฟรอยเดิมให้มิดชิด และนำแช่ในตู้เย็น เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแสงหรือความร้อน เนื่องจากลูทีน (Lutein) เสื่อมสภาพได้ง่าย (Low Stability) จะทำให้ประสิทธิภาพของสารสำคัญถูกทำลาย

ทานต่อเนื่อง 1-2 เดือนขึ้นไป
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อดวงตา
ควรพักสายตาเป็นระยะ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของดวงตา

เคล็บลับดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดี

สูตรถนอมสายตา 20-20-20

ปฏิบัติตามกฎ 20 – 20 – 20 เพื่อสุขภาพตาที่ดี

ทุก 20 นาที ให้พักสายตา เพื่อคลายความเมื่อยล้าของดวงตา โดยการหันหน้าหนีจากหน้าจอที่กำลังจ้องมองอยู่
20 ฟุต มองไกลไปยังสิ่งอื่นๆอย่างน้อย 20 ฟุต เช่น พื้นที่สีเขียว สนามหญ้า ต้นไม้ เพื่อคลายความล้าจากการใช้งานสายตาที่จดจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน
20 วินาที ในการพักสายตาแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า 20 วินาที กะพริบตาบ่อยๆ พักสายตาอย่างจริงจัง เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า และความเครียดของดวงตา

การใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้สายตาเพ่งมากเกินไป บางครั้งการกะพริบตาจะน้อยลงโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า แสบตา เคืองตา อาจมีน้ำตาไหล ตาแดง ตาพร่ามัว และตาแห้งได้

"ประคบเย็น" เยียวยาตาล้า

การประคบเย็นง่ายๆ ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา

โดยการนำเจลเย็นหรือผ้า ไปแช่ในตู้เย็นแล้วนำมาวางทาบบนเปลือกตาทั้ง 2 ข้าง โดยไม่ต้องกด ขยี้หรือคลึง จนเริ่มคลายความเย็นลง ก็ให้นำเจลเย็นหรือผ้า นำไปแช่ในตู้เย็นแล้วนำกลับมาประคบต่อ ซึ่งควรทำติดต่อกันประมาณ 20 นาที และทำวันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้อาการตาล้าผ่อนคลายดีขึ้น