!! H.pylori เชื้อเอชไพโลไร แบคทีเรียตัวร้าย !!

หากพูดถึงเชื้อ🦠 H.pylori (Helicobacter pylori) หลายคนคงสงสัยว่าเป็นเชื้ออะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับเรา?

🦠H.pylori คืออะไร

เชื้อเอชไพโลไร เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เมื่อเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ซึ่งพบว่าถ้าเราได้รับเชื้อตัวนี้ในระยะยาว มันจะทำให้เกิดกระเพาะอักเสบ และเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้

🦠ติดเชื้อนี้ได้อย่างไร

เชื้อโรคนี้ติดโดยการกินเชื้อโรคเข้าไปตั้งแต่อาหารปนเปื้อนเชื้อโรคตัวนี้หรือติดจากเนื้อเยื่อคัดหลั่ง สารคัดหลั่งที่ปนเปื้อนแล้วกินเข้าไป เช่น การคลอดลูกแล้วลูกได้รับเชื้อจากแม่ แต่แน่ๆคือ ได้รับเชื้อโรคโดยการกินเข้าไป ซึ่งตอบไม่ได้ว่าอาหารเหล่านั้นมีเชื้อมากหรือน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญก็คือ ถ้ามีอาการปวด อืด แน่นท้อง ก็อาจจะมาจากสาเหตุเชื้อโรคตัวนี้ได้

การติดเชื้อโรคเอชไพโลไร (H.pylori) ใหม่ๆ อาจจะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบและปวดท้องธรรมดา แต่ถ้าติดไปนานๆ จะทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ตั้งแต่มะเร็งเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งอันนี้รักษาโดยการผ่าตัด และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองของกระเพาะอาหาร พวกนี้มักเกิดการอักเสบ จะทำให้เกิดตัวน้ำเหลืองหรือเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Lymphocyte ขยายตัวมากขึ้น ก็จะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดไม่รุนแรง ซึ่งรักษาได้โดยการกำจัดเชื้อเอชไพโลไรตัวนี้

โดยปกติ เราต้องได้รับการทดสอบก่อนว่า มีการติดเชื้อโรคตัวนี้หรือไม่ เพราะบางครั้งอาการปวดท้องอาจจะเป็นแค่โรคกระเพาะทั่วไปก็ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการติดเชื้อโรคเอชไพโลไรตัวนี้ แต่ที่สำคัญคือ ถ้าเราปวดท้องมาเป็นระยะเวลานาน รักษาแบบกินยากระเพาะอาหาร เพื่อลดกรด หรือยาลดอาการกระเพาะอาหารอักเสบมาประมาณ 8 สัปดาห์แล้ว อาการเหล่านี้ยังไม่ดีขึ้น ไม่หายไป ก็แนะนำว่าอาจจะต้องไปตรวจหาเชื้อโรคนี้ โดยวิธีการส่องกล้อง ที่สามารถตรวจหาเชื้อโรคตัวนี้ได้ และเราจะหาสาเหตุการปวดท้องด้วยว่ามันมาจากสาเหตุอื่นๆด้วยหรือไม่ อย่างเช่น เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือเป็นกรดไหลย้อน มีการอักเสบของหลอดอาหารหรือไม่ หรือกระเพาะอาหารที่ผิดปกติ

เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร จะทำให้เยื่อบุกระเพาะ มีลักษณะผิดปกติ ซึ่งในบางกรณี เราก็ทำการตัดออกไป หลังจากตัดแล้ว ถ้าเนื้อกระเพาะนั้นเป็นเนื้อปกติก็ไม่ต้องทำอะไรต่อ แค่ติดตามอาการ แล้วก็กำจัดเชื้อเอชไพโลไร แต่ถ้ายังไม่สามารถกำจัดได้ การอักเสบยังดำเนินอยู่ มันก็อาจจะทำให้เกิดเนื้องอกขึ้นมาใหม่ได้คือ การเปลี่ยนแปลงของกระเพาะอาหาร จากกระเพาะอาหารอักเสบกลายเป็นมะเร็ง มันผ่านการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆกว่าจะทำให้เกิดมะเร็ง มักจะใช้เวลานานพอสมควร

👩‍⚕วิธีรักษา

การรักษาเบื้องต้นของเชื้อเอชไพโลไร เนื่องจากมันเป็นเชื้อแบคทีเรีย เราจำเป็นต้องได้รับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมกับการกินยารักษาโรคกระเพาะอาหาร หลังจากที่เราหายแล้ว เราก็ต้องทดสอบซ้ำว่า เชื้อโรคหายไปหรือยัง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มันเกิดจากการกินเชื้อโรคเข้าไป มันสามารถติดใหม่ได้ คือรักษาหายแล้ว มันเป็นซ้ำได้ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงด้วย คือถ้ามีอาการใหม่ทุกครั้ง อาจจะต้องไปพบแพทย์ตรวจกันทุกครั้ง !!

🚫วิธีป้องกัน

การป้องกันค่อนข้างยาก เนื่องจากเกิดจากการกิน เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า อาหารอันไหนที่ติดเชื้อปนเปื้อนมา หลักที่จะแนะนำก็คือ

  1. อย่ากินอาหารดิบ
  2. อย่ากินอาหารที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกมา เช่น ไม่สะอาด ล้างและปรุงไม่ค่อยสะอาดมากนัก อันนี้ควรจะหลีกเลี่ยงแน่นอน
  3. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เก็บไว้นานๆอย่างเช่น อาหารแช่แข็งที่กินไม่หมด แล้วเอาไปแช่ไว้แล้วเอากลับมากินใหม่ ถ้ามันนานเกินไปหรือเก็บในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม อันนี้ก็ต้องระวัง!
  4. หมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ

สรุปถ้าคิดว่าตัวเองอาจจะติดเชื้อเอชไพโลไร ควรไปรับการตรวจโดยส่องกล้อง เพื่อวินิจฉัยตัวผิวกระเพาะว่า มีลักษณะผิดปกติอย่างไร ในคนไข้ที่มีอาการปวด อืด แน่นท้อง เข้าข่ายที่จะต้องได้รับการตรวจก็ควรต้องตรวจ เพราะว่าการตรวจไม่ยาก สะดวก และภาวะแทรกซ้อนน้อย ที่สำคัญมันรักษาให้หายขาดได้ เพราะหากปล่อยไว้อาจเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร!!

ข้อมูลจากผศ.นพ.ไชยรัตน์ ทรัพย์สมุทรชัย สาขาวิชาทางเดินอาหารและศัลยศาสตร์ทั่วไป ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

greencurmin curmamax กรีนเคอมิน เคอม่าแม็กซ์ สมุนไพรกรีนเคอมิน ขมิ้นชัน เคอร์คูมินอยด์

อย่าลืมหมั่นสังเกตตัวเองกันด้วยนะคะ

แชร์บทความสุขภาพ